แผ่นดินถล่ม
ไอ้ดินถล่ม หรือแลนด์สไลด์
นี้ฉันเคยได้ยินจากโทรทัศน์หรือวิทยุมาบ้างแล้ว
แต่ลักษณะมันเป็นอย่างไรนะฉันยังก็ไม่เคยเห็นเลยผู้ใหญ่
ดินถล่ม
หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่าแลนด์สไลด์
(Land slide) เป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในบริเวณภูเขาที่มีลาดชันสูง
แต่ในบ้างครั้งที่ลาดชันต่ำก้อาจเกิดเกิดขึ้นได้เหมือนกัน
แต่โอกาสน้อยกว่าในประเทศไทยเราสาเหตุการเกิดดินถล่ม
ส่วนใหญ่เกิดจาก “น้ำ” โดยเฉพาะในบริเวณภูเขาที่ฝนตกมาก
โดยน้ำฝนที่ตกมาจะทำให้เกิดการลดแรงต้านในการเคลื่อนตัวของมวลดินหรือดิน
และน้ำก็จะเป็นตัวเปลี่ยนคุณสมบัติของดินจากของแข็งที่เคลื่อนที่ยากให้เป็นของอ่อนที่นิ่ม
หรือของเหลวที่ไหลได้
ทำให้เกิดดินถล่มแบบต่างๆได้
ดินถล่มมี5ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้
1.
การถล่มแบบตกหล่น
มักจะเป็นก้อนหินทั้งก้อนใหญ่และก้อนเล็กลักษณะอาจตกลงมาตรงๆหรือตกแล้วกระดอนลงมาหรืออาจกลิ้งลงมาตามลาดเขาก็ได้
2.
การถล่มแบบล้มลงมา
มักจะเกิดกับหินที่เป็นแผนหรือเป็นแท่งหินที่แตกและล้มลงมา
3.
การถล่มแบบเคลื่อนไปช้าๆ
เป็นการเคลื่อนตัวของดินหรือหินจากที่สูงไปสู่ที่ลาดต่ำอย่างช้าๆแต่หากถึงที่สูงไปสู่ที่ลาดต่ำอย่างช้าๆ
แต่หากถึงที่ที่มีน้ำขุ่น หรือพื้นที่ที่มีความลาดชันสูง
การเคลื่อนที่อาจเร็วขึ้นก็ได้
4.
การไหลของดิน
เกิดจาการชุ่มน้ำมากเกินไป
ทำให้เกิดดินโคลนไหลลงมาตามที่ลาดชัน โดยการไหลของดินแบบนี้ ดินไหลอาจพัดพาเศษทราย ต้นไม้ โคลน
หรือแม้นกระทั่งก้อนหินเล็กๆ ลงมาด้วยและหาก การไหลของดินพัดผ่านเข้ามาหมู่บ้านก็อาจทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงได้
5.
การถล่มแบบแผ่ออกไปด้านข้าง
มักเกิดในพื้นที่
ที่ลาดชันน้อยหรือพื้นที่ค่อนข้างราบโดยเกิดจากดินที่ชุ่มน้ำมากเกินไปทำให้เนื้อดินเหลวและไม่เกาะตัวกันจนแผ่ตัวออกไปด้านข้างๆ โดยเฉพาะด้านที่มีความฉลาดเอียงหรือต่ำกว่า
รู้ไหมว่า…..ประเทศไทยเกิดเหตุการณ์ดินถล่มรุนแรงตามที่มีบันทึกไว้ดังนี้
Ø 23 พฤษภาคม 2531 เกิดฝนตกหนักโคลนถล่มที่ ต.กระทูน อ.พิปูน จ.นครศรีธรรมราช
มีผู้เสียชวิตมากถึง700ราย
Ø 4 พฤษภาคม 2544
น้ำป่าและโคลนพัดเข้าหลายหมู่บ้านที่ อ. วังชิ้น จ.แพร่
มีผู้เสียหายชีวิต 23ราย
Ø 10 สิงหาคม 2544
น้ำป่าและดินถล่มที่ ต.น้ำก้อ ต.น้ำชุน และ ต. หนองไขว้ อ. หล่มสัก
จ. เพชรบูรณ์ มีเสียชีวิต 131ราย
> 25 พฤษภาคม 2549 ฝนตกหนักและมีดินถล่มในเขต อ. ลับแล
จ. อุตรดิตถ์ มีผุ้เสียชีวิตประมาณ 100 ราย
แสดงว่าน้ำฝนเป็นต้นเหตุของแผ่นดินถล่ม
อย่างแรกคือ สาเหตุ “ ธรรมชาติ ” เช่น
1.
โครงสร้างของดินไม่แข็งแรง
2.
พื้นที่มีความลาดเอียงสูงและไม่มีต้นไม้ยึดหน้าดิน
3.
ความแห้งแล้งและไฟป่าทำลายต้นไม้ที่ยึดหน้าดิน
4.
เกิดแผ่นดินไหว
5.
คลื่นสึนามิ
6.
เกิดการเปลี่ยนแปลงของน้ำใต้ดิน
7.
การกัดเซาะของฝั่งแม่น้ำหรือฝั่งทะเล
สิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุจากธรรมที่ก่อให้เกิดดินถล่มได้ทั้งสิ้น
นอกจากธรรมชาติที่ทำให้แผ่นดินถล่มแล้ว “ มนุษย์ ” ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดแผ่นดินถล่มด้วยเช่นกัน
1.
การขุดไหล่เขาทำให้ไหล่เขาชันมากขึ้น
2.
การดูดทรายจากก้นแม่น้ำลำคลองทำให้แม่น้ำคลองลึกลงตลิ่งชันมากขึ้น ทำให้เกิดดินถล่มได้
3.
การขุดดินลึกๆ ในสถานที่ก่อสร้าง ก็อาจทำให้ดินด้านบนโดยรอบเคลื่อนตัวลงมายังหลุมที่ขุดได้
4.
การบดอัดดิน ก็อาจทำให้ดินข้างเคียงเคลื่อนตัว
5.
การสุบน้ำบาดาลที่มากเกินไปทำให้เกิดโพรงใต้ดิน หรือการอัดน้ำลงในดินมากไปก็ทำให้โครงสร้างดินไม่แข็งแรงพอ
6.
การถมดินบนสันเขาก็เป็นการเพิ่มน้ำหนักให้ดิน เมื่อมีฝนตกหนักอาจทำให้ดินถล่มได้
7.
การตัดไม้ทำลายป่า
ทำให้ไม่มีต้นไม้ที่ยึดเกาะหน้าดิน
8.
การทำอ่างน้ำเก็บน้ำก็เป็นการเพิ่มน้ำหนักบนภูเขาและยังทำให้น้ำซึมลงใต้ดินจนเสียสมดุล
9.
การเปลี่ยนแปลงทางน้ำตามธรรมชาติ ทำให้ระบบน้ำใต้ดินเสียสมดุล
10.
การกระเทือนอย่างรุนแรง เช่น การระเบิดหิน
ลักษณะพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่มมักเป็นพื้นที่อยู่ตามลาดเชิงเขา หรือบริเวณที่ลุ่มที่ติดอยู่กับภูเขาสูง โดยเฉพาะ
ภูเขาสูงที่มีการพังทลายของดิน
หรือพื้นที่ต้นน้ำที่มีการทำลายป่าไม้
พื้นที่ภูเขาหรือหน้าผาที่เป็นหินผุง่าย
พื้นที่แบบที่ว่าหากมีฝนตกหนักต่อเนื่องหลายวัน
ชาวบ้านที่อยู่ใกล้บริเวณดังกล่าวต้องให้ความสนใจในการ
ระวังภัยดินถล่มเป็นพิเศษ
โดยเฉพาะ
หมู่บ้านที่ตั้งในลักษณะดังต่อไปนี้ ต้องคอยเฝ้าระวังเป็นพิเศษ
1.
อยู่ติดภูเขาและใกล้ลำห้วย
2.
มีรอยแยกดินไหลดินเลื่อนบนภูเขา
3.
มีรอยแยกของพื้นดินบนภูเขา
4.
อยู่บนเนินหน้าหุบเขาและเคยมีโคลนหรือดินถล่มลงมาบ้าง
5.
ถูกน้ำป่าท่วมบ่อยๆ
6.
มีกองหิน เนินทรายปนโคลนและซากต้นไม้ในห้วยใกล้หมู่บ้าน
7.
พื้นลำห้วยมีก้อนหินขนาดเล็กใหญ่อยู่ปนกันตลอด
หมู่บ้านที่มีลักษณะทั้ง 7 นี้
ต้อง “เฝ้าระวัง”
1.
มีฝนตกหนักถึงมาก (มากกว่า
100 มิลลิเมตรต่อวัน)
2.
ระดับน้ำในลำห้วยสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
3.
สีของน้ำเปลี่ยนเป็นสีของดินบนภูเขา
4.
มีเสียงดังอื้ออึงผิดปกติดังมาจากภูเขา และลำห้วย
5.
มีระดับน้ำเข้าท่วมหมู่บ้าน และน้ำเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
กรมพัฒนาที่ดินเตือนภัยพื้นที่มีเสี่ยงถล่ม 52 จังหวัด
กรมพัฒนาที่ดิน
แจ้งว่าปัจจุบันประเทศมีพื้นที่เสี่ยงที่จะเกิดดินถล่ม (Landslide)หลายจังหวัด ซึ่งภัยพิบัติดังกล่าว
มักเกิดขึ้นพร้อมกับน้ำป่าไหลหลาก
โดยเฉพาะช่วงที่ฝนตกหนักมากบริเวณเทือกเขา
เบื้องต้นพบว่า
ประเทศไทยมีพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดดินถล่มและน้ำป่าไหลหลากจำนวน 52 จังหวัด ครอบคลุมเนื้อที่กว่า 5,722,543 ไร่
โดยพื้นที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดดินถล่มสูงที่สุด คือ ภาคเหนือ15 จังหวัดได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่
ตาก
แม่ฮ่องสอน กำแพงเพชร เชียงราย
น่าน พะเยา พิษณุโลก
เพชรบรูณ์ แพร่ ลำปาง
ลำพูน สุโขทัย
อุตรดิตถ์ และอุทัยธานี
รวมเนื้อที่ 2,796,066 ไร่
รองลงมา คือ ภาคใต้ 14 จังหวัด ได้แก่ กระบี่
ชุมพร ตรัง
นครศรีธรรมราช นราธิวาส
ปัตตานี พังงา พัทลุง
ภูเก็ต ยะลา ระนอง
สงขลา สตูล และสุราษฎร์ธานี
รวมเนื้อที่ 1,646,584 ไร่
ขณะที่ภาคกลางมีพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดดินถล่มและน้ำป่าไหลหลาก 7จังหวัด ได้แก่
กาญจนบุรี ประจวบคีรีขันธ์
เพชรบุรี ราชบุรี
ลพบุรี สระบุรี และ
สุพรรณบุรี รวมเนื้อที่ 896,127 ไร่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 10 จังหวัด
ได้แก่ กาฬสินธุ์
ขอนแก่น ชัยภูมิ นครราชศรีมา
มุกดาหาร เลย สกลนคร
หนองคาย หนองบัวลำภู
และอุดรราชธานี
รวมเนื้อที่ 205,181 ไร่
และภาคตะวันออก 6 จังหวัด ได้แก่ จันทบุรี
ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ตราด
ระยอง และสระแก้ว
รวมเนื้อที่ 178,858 ไร่ ช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม จะเป็นช่วงหน้ามรสุมของภาคใต้
จังหวัดทางภาคใต้ที่น่าเป็นห่วงและเสี่ยงต่อดินถล่มมากที่สุดคือ สุราษฎร์ธานี
นครศรีธรรมราช พังงาและกระบี่
ถ้ามีฝนตกหนักก็อาจจะทำให้ดินและหินที่ค้างบนร่องเขาไหลลงมาอีกรอบหนึ่งได้
ดังนั้น
ชาวบ้านในพื้นที่ต้องรู้และเฝ้าระวังในช่วงที่มีฝนตกต่อเนื่องเพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียซ้ำอีก
อันดับแรก “การสังเกตก่อนเกิดดินถล่ม” เมื่อฝนตกหนักติดต่อกัน
เราควรสังเกตสิ่งต่อไปนี้เป็นสิ่งบอกเหตุเตือนภัยดินถล่ม
1. น้ำในลำห้วยขุ่นมากผิดปกติ นั่นแสดงว่ามีตะกอนไหลจากภูเขาลงมาตามลาดเขา
2.
เมื่อมีฝนตกนานๆ
ได้ยินเสียงดังเหมือนมีน้ำป่ามา
หรือมีเสียงต้นไม้ล้ม หรือมีเสียงก้อนหินกลิ้งดังครืนๆ
3.
น้ำที่ไหลมาจากภูเขาหรือที่ลาดเขามีก้อนหิน
ซากไม้ล้ม ตะกอนดินต่างๆ ไหลปนลงมา
4.
มีฝนตกหนักติดต่อกันหลายวัน
ระดับน้ำในลำห้วยเริ่มสูงผิดปกติ
หากฝนตกหนักแบบไม่หยุดติดต่อกันหลายวันควรอพยพหนีไปยังที่ปลอดภัย เช่น ที่สูงห่างไกลร่องเขา หรือ ลำน้ำ
โดยให้แจ้งข่าวต่อๆ กันไปโดยเร็ว
หากพลาดพลัดตกลงไปในกระแสน้ำ
อย่าว่ายน้ำหนีเป็นอันเด็ดขาด เพราะจะโดนซากต้นไม้หรือก้อนหินที่ไหลมากับโคลนกระแทกถึงตายได้
ให้มองหาต้นไม้ที่ใกล้ที่สุด และเกาะไว้ให้แน่นแล้วปีนหนีน้ำ
และขอให้ทุกคนจำไว้ว่า
เราสามารถป้องกันหรือลดความรุนแรงของภัยพิบัติแผ่นดินถล่มได้ดังนี้
1.
อย่าปลูกบ้านเรือนขวางทางน้ำ
2.
ร่วมมือร่วมใจ
รักษาป่า ไม่ตัดต้นไม้ ทำลายป่า
3.
ปลูกต้นไม้ เพื่อช่วย ซับน้ำ
4.
จัดเวรยาม
สังเกตการณ์ รอบหมู่บ้าน
5.
ติดตามข่าวสารพยากรณ์อากาศเพื่อให้ทราบสภาวะฝนตกหนักหรือน้ำป่าไหลหลาก
เนื้อหาสาระดีเยี่ยม
ตอบลบ